Monday, August 22, 2005

อลิส ตำนานแห่งเทพ

เรื่องนี้คนเขียนเอาเรื่องราวของเทพกรีกมาผูกเรื่อง ...
สมมติว่าถือกำเนิดใหม่เป็นคนในยุคปัจจุบัน ..แต่ได้พลังของเทพมาด้วย
เหล่าเทพต้องการจะฟื้นฟูอาณาจักรเทพขึ้นมาอีกครั้ง
ฝ่ายมารต้องอาศัยพลังของเทพองค์หนึ่งสำหรับการฟื้นฟู ...แล้วฝ่ายธรรมะก็ทำหน้าที่ปกป้อง

แต่ละตอนๆของเรื่องจะมีเทพองค์ใหม่ๆโผล่มาเรื่อยๆ แล้วก็เล่าเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย ว่าเทพองค์นี้ปกปักษ์อะไร เป็นพีน้องกะใคร ฯลฯ ....ทำเอาเราชอบเรื่องเทพเจ้ากรีกไปเลย

แต่ว่านะ ..ไปซื้อหนังสือตำนานเทพกรีกมาอ่าน บางทีก็ไม่ค่อยเหมือน มันก็มีเพี้ยนๆไปบ้างแหละ แต่โดยรวมก็พอคุยกะคนอื่นรู้เรื่อง ..อ่านอันนี้แล้วจำแม่นกว่าอ่านตำนานเทพกรีกตั้งเยอะแยะ

ลืมบอกไปว่า หนังสือชุดนี้ยาวเหมือนกัน ...ซักประมาณ 20 กว่าเล่มจบอ่ะ (ซื้อมาจากหลายสำนักพิมพ์มาก ...ตอนนั้นยังอยู่ในช่วงปัญหาลิขสิทธิ์ของการ์ตูนอยู่ )

รันเซ : ซาตานสาวเจ้าปัญหา


เมื่อก่อนตอนเด็กๆ ช่อง 9 การ์ตูนจะมีเรื่องอสูรน้อยกระซิบรักมาฉาย แต่ตอนนั้นก็ไม่ได้ดูแหละ (หลังๆตอนโตมาได้มาดูรู้สึกว่าอ่านหนังสือสนุกกว่าจมเลย)

พอตอนม.ต้น มีเพื่อนบอกว่าเรื่องนี้สนุก ก็เลยไปหามาอ่าน ..สมัยนั้นถ้าจะซื้อการ์ตูนเยอะๆต้องไปแถวสนามหลวง มันจะมีร้านการ์ตูนขายส่งอยู่ ..เรื่องนี้เราไปซื้อมาจากร้านของมิตรไมตรีเลย ต้องให้รถไปจอดรอหน้าร้าน เพราะว่าหนัก แบกไม่ไหว (เมื่อก่อนทำไมอ่อนแอจังฟะ) แต่ว่าอ่านแล้วก็คุ้มนะ ..หนุกดี

ตอนที่เราซื้อมานี่มี 6 เล่ม(หนาๆ) ข้างในแบ่งออกเป็น 3 ภาค เป็นเรื่องของชาวปีศาจที่มาอาศัยบนโลกมนุษย์ แล้วก็มาพบรักกับ(คนที่คิดว่าเป็น)มนุษย์ ..แต่ตอนหลังมารู้ว่าคนนั้นเป็นเจ้าชายเมืองปีศาจถูกขับออกมาตั้งแต่เด็ก เพราะราชาปีศาจเชื่อว่าเป็นกาลกิณี

ภาคแรกเนี่ย ..เป็นตอนที่พระราชาปีศาจสืบได้ว่าเจ้าชายยังไม่ตาย เลยพยายามออกตามล่า แต่สุดท้ายก็มาค้นพบว่าการเกิดมาของเจ้าชายองค์นี้ไม่ได้ทำให้เมืองปีศาจถูกทำลายเหมือนความเชื่อที่ราชาปีศาจเชื่อ แต่ทำให้เกิดศักราชใหม่ของโลกปีศาจแทน

พอมาภาคสอง ...แม่มดชั่วในตำนานฟื้นคืนชีพ แล้วพยายามจะเข้าครอบครองโลกปีศาจ ซึ่งก็ทำสำเร็จไปเยอะแล้ว แต่พระเอกไหวตัวทัน ก็เลยหาทางกอบกู้บัลลังก์คืนมาได้

ภาคสามนี่เป็นเรื่องของรินเซ..น้องชายนางเอก ...เมื่อก่อนเราชอบน้องชายนางเอกมากๆอ่ะ จำได้ว่าเป็นพระเอกในดวงใจเลย (คนวาดวาดได้หล่อมาก) ภาคนี้มีโลกอีกโลกนึงชื่อโลกภูติพรายเพิ่มขึ้นมา ..เรื่องของเรื่องก็คือ โลกภูติพรายกำลังถูกพรายดำยึดครอง ..พรายขาวเลยส่งทายาทออกมานอกโลก 2 คน ..คนนึงไปโลกปีศาจ กะอีกคนมาที่โลกมนุษย์ (เป็นน้องสาวบุญธรรมของนารุมิ ...แฟนรินเซ) ..คราวนี้ต้องการพลัง 4 คนเข้าไปสู้ ซึ่งก็คือคนของโลกภูติพราย 2 คนที่ส่งออกมา นารุมิ กะรินเซ ...ในภาคนี้รินเซจะถูกคำสาป ลืมนารุมิไปชั่วขณะ แต่ด้วยอานุภาพแห่งความรัก นารุมิก็ช่วยรินเซให้พ้นจากคำสาปได้ (จริงๆตอนนี้ไม่ค่อยหนุกล่ะ ถ้าเทียบกะ 2 ตอนแรก ..แต่อ่านบ่อยเพราะชอบรินเซ)

==============================

หลังๆนี่มีออกตอนของ อายระ (ลูกสาวของพระเอก-นางเอกในภาคแรก) ออกมาเพิ่ม มีตั้งกะอายระอยู่อนุบาล ยันม.3 เราไม่แน่ใจว่าเรามีครบรึเปล่าอ่ะ เพราะว่าหลังๆมันติดเรื่องลิขสิทธิ์อะไรก็ไม่รู้เต็มไปหมด การ์ตูนที่ซื้อค้างๆช่วงนั้นก็เลยเก็บได้มั่ง ไม่ได้มั่ง ..เสียดายจัง

==============================

ปล. เมื่อก่อนเวลาอ่านอะไรแล้วสนุกก็จะขนไปให้เพื่อนยืม ..แต่เพื่อนบางคนนี่คิดไว้เลยว่าวันหลังไม่ให้แล้ว ...เอาไปให้อยู่ในสภาพดีๆ พอกลับมานะ ..หลุดเป็นชิ้นๆเลย ..เสียดายจัง Y_Y


เทพนิยายนานาชาติ

เมื่อก่อนเวลาไปซื้อหนังสือ ...หมวดแรกที่จะไปหาคือ "เทพนิยาย" "นิทานพื้นบ้าน" ฯลฯ
และนี่ก็เป็นผลพวงจากการเลือกหยิบแต่เทพนิยายมาอ่านเนี่ยแหละ ..
มีจะทุกประเทศอยู่แล้วเนี่ย (แต่บางอันก็ไม่หนุกนะ)

เรามี เทพนิยายกริมม์ , กรีก, สกอต, ไวกิ้ง กับเทพนิยายคลาสสิก 2 เล่ม
ถามว่าอันไหนสนุกสุดนี่ตอบยาก ...จริงๆเหมือนมันเหมาะกับเด็กๆมากกว่า ..หลายเรื่องเคยรู้มาแล้ว
แต่ว่าถ้าเป็นกริมม์ กับคลาสสิก เหมือนจะเป็นเรื่องที่เรารู้ๆกันมาแล้ว
พวกซินเดอเรลล่า, เจ้าหญิงที่นอนบนถั่ว อะไรประมาณนั้นอ่ะ

จริงๆ set นี้ไม่ค่อยจะเป็นเล่มโปรดนะ ..แต่มันรวมตัวเป็น collection ดี
แบบว่าถ้าอยากรู้ว่าจะเล่าเรื่องอะไรให้เด็กๆฟังดี ก็เอา set นี้มาดูได้เลยยยย



โต๊ะโตะจัง : เด็กข้างหน้าต่าง


จริงๆได้ยินชื่อเสียงของเรื่องนี้ตั้งแต่เด็กแล้ว แต่ไม่ได้อ่าน พอโตขึ้นถึงไปซื้อมาอ่านดู
ได้อ่านแค่บทแรก ก็รู้สึกได้เลยว่าเรื่องนี้น่าสนใจ

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงกับเด็กหญิงญี่ปุ่นคนหนึ่งชื่อโต๊ะโตะจัง ปกติโต๊ะโตะอาจจะเป็นเด็กที่แสดงความคิดของตัวเองแปลกกว่าเด็กคนอื่น เวลาที่โต๊ะโตะสนใจอะไรก็จะตั้งใจทำสิ่งที่ตัวเองสนใจ โดยบางครั้งไม่ได้มองว่าสังคมรอบข้างทำอะไรกันอยู่ ...คราวนี้มีอยู่ช่วงนึงโต๊ะโตะสนใจแต่เปิดปิดลิ้นชักโต๊ะเรียนของตัวเอง แล้วก็นั่งข้างหน้าต่างคุยกับนักดนตรีที่เดินผ่านไปผ่านมา ทำให้คุณครูไม่สามารถทนโต๊ะโตะได้อีกต่อไป แล้วก็ให้โต๊ะโตะออกจากโรงเรียน
สุดท้าย แม่ของโต๊ะโตะก็พาโต๊ะโตะมาฝากไว้ที่โรงเรียนนึงได้ คุณครูใหญ่ของที่นี่มีวิธีการสอนที่แปลกไปจากที่อื่น ตอนโต๊ะโตะไปถึง คุณครูใหญ่ก็ให้โต๊ะโตะคุยๆๆๆๆ แล้วก็รับเข้าโรงเรียน ..ที่นี่ไม่มีตารางสอนแน่นอน ใครอยากเรียนอะไรก็สามารถเรียนเองได้ แล้วมีคุณครูคอยควบคุมอยู่ห่างๆ โดยครูใหญ่ให้เหตุผลว่านักเรียนแต่ละคนความสนใจต่างกัน ไม่จำเป็นต้องเรียนวิชาละเท่าๆกันเหมือนกันทุกคน ..เด็กน่าจะค้นหาตัวเองได้ว่าตัวเองต้องการอะไร
รายละเอียดหลายๆอย่างในเรื่องนี้ทำให้รู้สึกว่า บางครั้งผู้ใหญ่ก็ตีกรอบให้เด็กเดินตามตนเองมากเกินไป และอาจจะไม่เข้าใจในจินตนาการและการเรียนรู้ด้วยตัวเองของเด็ก ...อ่านแล้วอยากให้มีผู้ใหญ่อย่างคุณครูใหญ่เยอะๆ..ผู้ใหญ่ที่เข้าใจ และยอมรับในความเป็นเด็กที่บางครั้งอาจจะแสดงออกต่างจากมาตรฐานของสังคมไปได้

เมื่อก่อน หนังสือเล่มนี้เคยเป็นหนังสือนอกเวลาให้เด็กอ่าน ...แต่เราว่าจริงๆแล้ว หนังสือเล่มนี้น่าจะเหมาะให้คนที่จะเป็นคุณครูอ่านมากกว่าแฮะ


ฟัดจี้ : ไม่มีใครร้ายเท่าน้องเล็ก



เรื่องนี้ติดอันดับดังมากๆตอนเราเด็กๆ ..แบบว่ารุ่นเราทุกคน(น่าจะ)ต้องรู้จัก ..จริงๆจำรายละเอียดไม่ค่อยได้ แต่รวมๆก็ประมาณว่ามีเด็กคนนึงแสบมาก ชื่อฟัดจี้ ..วีรกรรมสุดๆของสุดๆ ...อ่านแล้วก็นึกไปว่าเด็กๆมันคิดอย่างนี้ได้ไงเนี่ย ..แต่น่ารักนะ ...

เราไปดูในหนังสือเรามีแค่ 3 เล่ม คือ ไม่มีใครร้ายเท่าน้องเล็ก ,น้องเล็กยังร้ายอยู่, น้องเล็กยิ่งร้ายใหญ่ แต่รู้สึกว่ามันจะมีอีก..เกี่ยวกับชีลา (เพื่อนของพี่ชายฟัดจี้) แต่เราไม่มีแฮะ เดี๋ยวต้องไปหาซื้อมาเก็บให้ครบ


...................................................................

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่พี่ชายของฟัดจี้เขียนถึงน้องชายด้วยความน่าเอ็นดู
ชื่อเรื่องอาจจะเน้นไปที่ ฟัดจี้ ว่าร้ายอย่างนั้น ร้ายอย่างนี้ ..แต่เราว่าพี่ชาย พ่อ แม่ ไม่ได้ต่างกันนักหรอก

เราชอบสำนวนที่เค้าแปล เวลาปีเตอร์(พี่ชาย) พูดถึงน้อง ..แบบว่าจะได้อารมณ์ดีมากๆๆ ปีเตอร์จะหมั่นไส้แกมรำคาญฟัดจี้ แล้วบางทีก็จะเรียกว่า ไอ้เด็กเวรนั่น"...เหอๆๆๆ

ส่วนแม่นี่ก็ใช่ย่อย ..มีอยู่ทีนึง ฟัดจี้ไม่ยอมกินข้าว แล้วมาเล่นเป็นลูกหมา คลอเคลียอยู่ที่ขาปีเตอร์ แม่ก็เลยบอกฟัดจี้ว่า เป็นลูกหมาต้องกินอาหารตามพื้น แล้วก็เลยเทข้างลงพื้นให้ฟัดจี้กิน โดยให้เหตุผลว่าดีกว่าจะให้ลูกอดข้าวตาย ...เจ๋งมะ ??

วีรกรรมฟัดจี้นี่ก็ใช่เบาะๆ...ตอนคุณเธอ 3 ขวบ แม่ตั้งท้องใหม่ (ปีเตอร์โมโหมาก) แล้วฟัดจี้ก็ไปถามว่าเด็กเกิดมาได้ไง แล้วแม่ก็เลยเอาหนังสือ "กำเนิดกุมาร" (ที่เคยซื้อให้ปีเตอร์ตอนถามสมัยแม่ท้องฟัดจี้) มาอ่านให้ฟัง ...คุณหนูของเราก็จำได้อย่างแม่น โดยเฉพาะตอนที่พ่อแม่ทำให้มีเด็กในท้อง ..แล้วก็ด้วยความช่างพูด เลยไปเล่าให้คนอื่นฟังทั่ว จนแม่ต้องคอยห้าม ..แล้ววันนึงคุณหนูเธอไปเห็นหญิงท้องบนรถเมล์ เลยเดินไปบอกว่า
"ผมรู้นะว่ามีอะไรอยู่ในท้องคุณ แล้วก็รู้ด้วยว่ามันไปอยู่ในท้องคุณได้ยังไง"
...เหอๆๆ เจ๋งมะล่ะ ฟัดจี้ของเรา

เรื่องนี้เราอ่านมาตั้งกะม.ต้นแล้ว...แต่รู้สึกว่าตอนนี้ก็ยังอ่านได้อยู่ ... หนุกๆๆ




เราจะพบกันอีกที่สวรรค์ของฉัน

เรื่องราวที่แม่คนนึง บันทึกเหตุการณ์ของลูกสาวที่เป็นมะเร็งและตายจากไป

เด็กผู้หญิงคนนึงที่รู้ตัวว่าตัวเองเป็นมะเร็งตั้งแต่อายุ 10 ขวบ
แต่ด้วยกำลังใจที่เข้มแข็ง ทำให้เธอต่อสู้อย่างมีความสุขจนถึงนาทีสุดท้ายของชีวิต

เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่เกิดกับเด็กหญิงเยอรมันคนนึง ที่รู้ตัวว่าตัวเองเป็นมะเร็ง และไม่มีทางรักษาหาย แต่ว่ากำลังใจจากครอบครัว และจากตัวเองทำให้เธอสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างมีความสุข ...หรืออย่างน้อย เธอก็ทำให้คนรอบข้างรู้สึกได้ว่าเธอมีความสุข

เธอลุกขึ้นมาแต่งตัวในวันฮาโลวีน ทั้งๆที่ยังอยู่ในโรงพยาบาล
ลุกขึ้นมาพูดให้กำลังใจพ่อแม่ในวันที่ท้อแท้ ทั้งๆที่เธอเองที่กำลังจะตาย

สุดท้าย เธอได้เตรียมตัวสำหรับการตายของตัวเองไว้เรียบร้อย
สั่งเสียพ่อแม่ สำหรับเรื่องต่างๆที่เธออยากให้ทำ
เขียนจดหมายถึงทุกคนที่เธอรัก ...และบอกเค้าว่าเธอรักเค้าแค่ไหน
ก่อนจะจากไป..เธอบอกกับพ่อแม่ว่า วันนึงเราจะต้องพบกันอีก ..เธอจะไปรออยู่ที่นั่น
และเชื่อว่าวันนึงทุกๆคนที่เธอรักจะไปเจอเธออีกครั้งที่สวรรค์ของเธอ

==========================================

ไม่เคยรู้สึกว่าเห็นใครมองโลกในแง่ดี และเข้มแข็งเท่าเด็กคนนี้เลย
อ่านแล้วรู้สึกว่าปัญหาในโลกมีอีกเยอะแยะ ....คนที่เจอปัญหาหนักกว่าเรามีอีกเยอะ
อ่านแล้วเป็นกำลังใจอย่างดีเลยแหละ

==========================================

โรอัลด์ ดาห์ล

เด็กๆหลายคนน่าจะรู้จักนักเขียนคนนี้นะ (รึเปล่า)

จำได้ว่าเคยดูหนังเรื่องแม่มดแล้วชอบมาก (ตอนนั้นไม่รู้ว่าคือแม่มดของคนนี้)
แล้วเพื่อนก็มาบอกว่าเรื่องนี้สนุก เลยไปหามาอ่าน ...อ่านรวดเดียวจบเลยเหมือนกัน

แม่มด ..
เป็นเรื่องแรกของนักเขียนคนนี้ที่เราอ่าน ...ก็สนุกดี (แต่จำไม่ได้ว่าเนื้อเรื่องเป็นไงแฮะ..ขอไปฟื้นความจำนิดนึง)

เรื่องเหลือเชื่อ
คือเรื่องของเรื่องเราชอบอ่านเรื่องลึกลับ เลยไปซื้อมาอ่าน
อันนี้จะเขียนเรื่องสั้นเป็นตอนๆ อ่านง่าย ...จำได้ว่าเรื่องนึงเป็นเรื่องของหญิงสาวที่ฆาตกรรมสามีโดยใช้เนื้อแช่แข็งในตู้เย็นเป็นอาวุธ
พอเธอฆ่าสามีเสร็จ ก็เรียกตำรวจมาว่าเห็นศพสามีหลังจากกลับมาบ้าน แล้วก็ชวนตำรวจกินข้างที่บ้าน โดยเอาท่อนเนื้อที่เป็นอาวุธมาทำเป็นอาหารให้
...อะไรประมาณนั้น.....

โรงงานชอคโกแลต
เป็นวรรณกรรมชึ้นชื่ออีกเรื่องของคนนี้ (ตอนนี้ทำเป็นหนังไปแล้ว)
เรื่องนี้บรรยายถึงโรงงานแห่งหนึ่ง ที่ผลิตชอคโกแลตและขนมหวานแบบเหนือความคาดหมายได้หลายอย่าง
เจ้าของโรงงานเป็นคนออกจะดูประหลาดๆ แต่เก่งเหลือเชื่อ สร้างโรงงานที่เป็นปริศนาว่าใครทำงานข้างใน ..จนมาวันนึงก็อนุญาตให้เด็ก 5 คนเข้าไปเยี่ยมชม
เด็ก 5 คนนี้ก็จะมีคาแรกเตอร์ต่างกัน นักเขียนคงอยากสื่ออะไรซักอย่าง แต่ก็ไม่รู้จะอธิบายยังไง ..ศุดท้ายก็เหมือนเรื่องทั่วๆไป คือเด็กดีที่สุดก็ได้รับรางวัลที่ดีที่สุด ส่วนเด็กไม่ดีก็ต้องรับโทษตามความผิดที่ตัวเองทำ ..ประมาณนั้น ..
เรื่องนี้ประทับใจสุดก็ตรงจินตนาการในโรงงานชอคโกแลตเนี่ยแหละ ...

โรงเรียนวัยสะรุ่น

เล่มนี้นี่ไม่พูดถึงไม่ได้ ....อิอิ ..เรื่องนี้เป็น "การ์ตูน" เรื่องแรกที่อ่าน
(ไม่นับโดเรมอน อาราเล่ กะการ์ตูนเด็กๆ)


เพราะเรื่องนี้แหละ ทำให้อ่านการ์ตูนมาจนถึงทุกวันนี้ แล้วก็มีการ์ตูนอยู่เต็มชั้นหนังสือไปหมด

เรื่องนี้นะเป็นเรื่องของนางเอกที่เรียนไม่เก๊ง ไม่เก่ง แล้วก็มีคนไม่เก๊ง ไม่เก่งมาปิ๊ง ...แต่สุดท้ายก็มีหนุ่มเก๊ง เก่งมาชอบแล้วก็ลงเอยกะคนนั้น ..เหมือนคนวาดคนนี้จะถนัดสไตล์นี้นะ (ทาดะ คาโอรุ) เพราะเคยอ่านเรื่องนี้ตอนป.2 พลอตเรื่องเป็นแบบที่เล่า ...ตอนมหาลัยคนนี้เขียนเรื่องไหม่ก็สามารถเอาไอ้ที่เขียนข้างบนมาเล่าเป็นเรื่องย่อได้ ..แต่เราก็ชอบของคนนี้อ่ะ ..มุขเยอะมากๆ แบบว่ารายละเอียดเยอะ แล้วก็ตลกทุกตอน ..เวลาวาดหมาหน้าตากวนตีนก็กวนตีนจริงๆ ...วาดเด็กกวนตีนก็กวนตีนจริงๆ ...น่ารักดี

เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องของเด็กผู้หญิงธรรมดา ที่ไปปิ๊งหนุ่มหล่อของโรงเรียน แล้วก็อกหักไปตามระเบียบ...
แล้วก็มีหนุ่มนักเรียนนอกกลับมาจากอเมริกา แล้วก็มาปิ๊งสาวเจ้าอย่างจัง
แต่ก็อารมณ์ว่าอยากแกล้ง เลยมายั่วให้ชอบ แล้วก็แอบไปกิ๊กกะสาวอื่น ..ให้นางเอกของเราหึงแล้วก็รู้ตัว

สุดท้ายก็ Happy ending ตามฟอร์มของการ์ตูนญี่ปุ่นแหละ..อิอิ

นิทานเอกของญี่ปุ่น

เล่มนี้นี่เป็นหนังสือเล่มแรกๆที่ซื้อเองเลยอ่ะ (จริงๆพ่อแม่ซื้อให้แต่เลือกเอง) ..จำได้ว่าเด็กๆชอบเล่มนี้มากๆ ขนาดที่ว่าห้ามหาย ห้ามใครยืม แบบว่ารักษาสุดฤทธิ์ ..เอ...แต่จะเรียกว่ารักษาก็ไม่ได้ซะทีเดียวนะ เพราะดูจากสภาพแล้วคาดว่าไม่ได้รักษาอะไรมาก ..แต่เอาเป็นว่าพยายามรักษาสิทธิ์ความเป็นเจ้าของมากๆอ่ะ ...หวงสุดๆ

เล่มนี้จะเป็นเรื่องที่เขียนนิทานพื้นบ้านของญี่ปุ่นเอาไว้ ประมาณซัก 10 เรื่องได้มั้ง เป็นหนังสือที่ทำให้เรารู้จักเรื่องโมโมทาโร่ กะ อิซุนโบชิ (เด็กตัวเท่านิ้วโป้ง) ..รู้สึกว่า 2 เรื่องนี้จะดังสุด..

แต่เรื่องที่เราชอบสุดคือเรื่อง ชายชรากับดอกไม้ล่ะ ....จำไม่ค่อยได้เท่าไหร่ แต่ประมาณว่าเป็นชายชราที่มีเพื่อนบ้านเลวๆคนนึง เอาหมาที่ชายชราเลี้ยงไว้ไปทำไรไม่รู้ แล้วมันทำให้ไม่ถูกใจเลยฆ่า ชายชราก็เลยเอาไปเผา (มั้ง) แล้วเอาขี้เถ้ามาโปรย..พอโปรยไปก็กลายเป็นดอกไม้บานไปตามทาง ..พระราชามาเห็นเลยสอบถาม แล้วก็ปูนบำเหน็จให้ ....พอเพื่อนบ้านเห็นอย่างนั้นเลยจะพยายามทำมั่ง แต่พอโปรยขี้เถ้าไปแล้วกลายเป็นว่าเข้าตาพระราชา ..พระราชาแสบตาเลยจับมาลงโทษ อะไรประมาณนั้นแหละ

จริงๆจำเรื่องไม่ค่อยได้แล้ว เพราะไม่ได้กลับไปอ่านมานาน ...แต่ก็เลือนลางๆอ่ะ เด็กๆอ่านแล้วสนุกมาก (ชอบอ่านนิทานพื้นบ้านอ่ะ)



~~~สภาพของหนังสือที่พยายามรักษาสุดฤทธิ์...อิอิ~~~

Blu & Rosso


ครั้งแรกที่ซื้อเรื่องนี้มา ไม่รู้ว่าดัง แต่รู้สึกว่าวิธีการเขียนน่าสนใจดี

Blu เป็นเรื่องที่ผู้ชายคนนึงเขียนถึงผู้หญิงคนนึง
Rosso เป็นเรื่องที่ผู้หญิงเขียนให้ผู้ชาย

เรื่องราวความรักเรื่องเดียวกัน เหตุการณ์เดียวกัน แต่คน 2 คนมองกันคนละมุม

มีคนแปลหนังสือชุดนี้เป็นภาษาไทยว่า "ระหว่างความเยือกเย็นและร้อนแรง"
Blu คือมุมมองที่ผู้ชายมองผู้หญิงว่าเย็นชา ไม่มีความรู้สึก และอาจจะรักตนเองไม่พอ
Rosso คือมุมมองที่ผู้หญิงมองผู้ชายว่าใจร้อน ขาดความรอบคอบ และบุ่มบ่ามเกินไป

ทั้งสองคนพบรักกันตั้งแต่ยังเด็ก ...การแสดงออกในด้านความรักของทั้งสองคนอาจจะขาดความพอดีจนทำให้ขาดความเข้าใจกัน ...ในวันเกิดปีหนึ่งของผู้หญิง ..ผู้หญิงเคยบอกว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ..ในวันเกิดปีที่ 30 ของเธอ ขอให้ไปเจอกันที่ดูโอโมในอิตาลี

แล้ววันนึง ..ก็มีเหตุการณ์ที่ทำให้ทั้งสองต้องเลิกกันไป

ทั้งคู่ไม่ได้กลับมาเจอกันอีก ต่างคนก็ต่างมีคนรักใหม่ แต่ในส่วนลึกก็ยังคิดถึงกันและกันเสมอ และรอคอยวันที่ฝ่ายหญิงจะครบรอบ 30 ปี ...คำพูดนั้นเป็นเพียงคำพูดลอยๆ ต่างคนต่างไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายจะจำได้รึเปล่า ...แต่ก็จริงจังและตั้งตารอให้ถึงวันนั้นเร็วๆ

วันนั้นผู้ชายไปสถานที่นัดพบตั้งแต่เช้า จนกระทั่งพระอาทิตย์เกือบตก จึงได้เจอกับผู้หญิงคนที่เค้ารอคอยมาเกือบ 10 ปี

วันนั้น ทั้งคู่มีโอกาสแสดงความรักกันอีกครั้ง ...แต่การแสดงออกความรักกันครั้งนี้ ฝ่ายหญิงกลับรับรู้ถึงความเย็นชาที่ไม่เคยได้รับจากฝ่ายชายเลย ...และในขณะเดียวกัน ฝ่ายชายก็รับรู้ถึงความร้อนแรงที่ไม่เคยได้รับรู้จากฝ่ายหญิงเลยเช่นกัน ...

จนกระทั่งถึงเวลาที่ทั้งคู่ต้องจากกัน ... ไม่มีใครพูดอะไร ไม่มีใครเหนี่ยวรั้งกันและกันไว้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคือฝ่ายชายเดินไปส่งฝ่ายหญิงที่สถานีรถไฟเท่านั้น ....และแล้ว ....


..........................................................................

อยากรู้ว่าเป็นยังไงไปอ่านต่อเอาเองนะ ....อิอิ
เรื่องนี้เป็นิยายรักที่ชอบมากๆๆอ่ะ เค้ามีทำเป็นหนังด้วยนะ ..ชื่อภาษาอิตาลี Kelly chen กับ Takeshiro (รึเปล่าหว่า) เล่น ...หนังจะเพี้ยนไปจากหนังสือหน่อยๆ ..แต่ก็เป็นหนังประทับใจเหมือนกันแหละ

The chronicals of Narnia


~~~ฉบับพิมพ์ใหม่ (ยังไม่ครบชุด)~~~


ถ้าจะถามว่าอ่านหนังสือเรื่องไหนเป็นเล่มแรก..คงนึกไม่ออก
แต่ถ้าถามว่าเรื่องไหนที่อ่านแล้ววางไม่ลง (ไม่นับการ์ตูน) ..คงตอบได้ทันทีว่าเรื่องนี้แหละ

จำได้เลย ..ซื้อเล่มนี้มาตอนสัปดาห์หนังสือสมัยประถม ตอนนั้นที่โรงเรียนมีสัปดาห์หนังสือ แล้วเพื่อนมาบอกว่าเล่มนี้สนุก ..เราก็ตามไปหาซื้อมาอ่านมั่ง (ตอนนั้นเด็กรุ่นเรา โรงเรียนเราหลายคนอ่านเรื่องนี้) แต่ว่าตอนนั้นซื้อมาแล้วก็ไม่ได้อ่านเลย ..ปล่อยเอาไว้นานเหมือนกัน ..แล้วพอว่างก็เลยหยิบมาอ่าน ...พออ่านเท่านั้นแหละ ...เหอๆๆๆ สนุกมั่กๆๆๆๆ อ่านรวดเดียวจบเลย

===================================

เล่มที่ 1 : ตู้พิศวง (The lion, witches and wardrobe)


~~~เล่มแรก ..ดูขลังมะ ???~~~


เรื่องนี้เป็นนิทานจินตนาการ อ่านง่าย ข้าใจง่าย เหมาะกับเด็กๆ ..เล่มแรกที่เราอ่านชื่อเรื่องเมืองในตู้เสื้อผ้า เป็นเรื่องราวของเด็ก 4 คนที่เข้าไปในตู้เสื้อผ้า แล้วก็ได้ท่องไปในดินแดนแห่งจินตนาการแห่งใหม่ชื่อว่า "นาร์เนีย" ...ตอนไปถึง ดินแดนนั้นต้องคำสาปโดยแม่มดขาวให้ปกคลุมด้วยหิมะทั้งเมือง แต่ตำนานบอกเอาไว้ว่าจะมีบุตรแห่งอดัมและธิดาแห่งอีฟ 4 คนมาช่วยเหลือ ..เด็กทั้ง 4 คนเลยต้องต่อสู้กับแม่มดขาว เพื่อช่วยดินแดนนี้ให้พ้นจากคำสาป โดยได้รับความช่วยเหลือจากอัสลาน (สิงโตที่เป็นผู้สร้างเมือง)

เรื่งนี้เป็นเรื่องแรกที่ทำให้เรารู้จัก ฟอน เซนทอร์ แล้วก็สัตว์ในนิยายหลายอย่าง ..เราว่าเสน่ห์ของมันอยู่ที่ความอ่านง่าย เข้าใจง่าย แต่แฝงไปด้วยจินตนาการอ่ะ ...ไม่รู้สิ ...ถ้าคนที่โตแล้วมาอ่าน อาจจะไม่ชอบมากนัก เพราะการสื่อออกมามันค่อนข้างเรียบง่าย ไม่ซับซ้อน ...แต่เราก็ชอบนะ ..สนุกดี ..อ่านมาหลายรอบละล่ะ ..อิอิ

================================================

เล่มที่ 2 : เจ้าชายแคสเปี้ยน (Prince Caspian)

หลังจากตอนแรกที่เด็ก 4 คนช่วยให้ดินแดนกลับมาเป็นปกติสุขได้แล้ว ก็ขึ้นครองราชย์ซักพัก แล้วก็กลับมาอยู่ในโลกของตัวเอง ...แต่ในขณะเดียวกัน ดินแดนนาร์เนียเริ่มมีปัญหา เจ้าชายแคสเปี้ยนซึ่งเป็นทายาทราชวงศ์ตัวจริงถูกท่านอายึดตำแหน่งพระราชาไป แล้วไม่สนับสนุนการมีอยู่ของชาวนาร์เนีย (เช่น ฟอน คนแคระ แล้วก็สัตว์พูดได้) เจ้าชายเลยรวบรวมชาวนาร์เนียแล้วตั้งเป็นกองทัพเพื่อชิงบัลลงก์คืน และส่งสัญญาณให้กษัตริย์ในตำนาน 4 คนกลับมาช่วย...และด้วยอำนาจของอัสลาน ..เด็ก 4 คนจากโลกมนุษย์ก็กลับคืนสู่นาร์เนียอีกครั้ง.....

================================================

เล่มที่ 3 : อาชากับเด็กชาย (The horse and his boy)

ตอนนี้ไม่เกี่ยวกับเด็ก 4 คนที่เป็นคนเดินเรื่องเท่าไหร่ แต่เป็นเรื่องราวของชาวนาร์เนียที่ผลัดหลงไปเติบโตในดินแดนอื่นตั้งแต่เด็ก และใฝ่ฝันว่าจะออกจากดินแดนนั้นให้ได้ ....แล้วโชคชะตาก็พาให้เด็กคนนั้นมาเจอกับม้าของนาร์เนียที่พลัดออกมาจากนาร์เนียด้วยความคะนอง เลยถูกมนุษย์จับใช้งาน (ที่รู้เพราะม้าของนาร์เนียจะพูดได้ ..ม้าเลยเล่าให้ฟัง) ..ทั้งสองเลยร่วมกันเดินทางกลับนาร์เนีย ..แต่ถ้าเรื่องมีแค่นั้นก็ดูจะตื่นเต้นน้อยไปหน่อย ..ระหว่างทางทั้งสองก็เลยได้รับรู้ข่าวจากเมืองใกล้ๆว่าต้องการจะเข้าไปทำสงครามกับนาร์เนียแบบกองโจร คือบุกโดยไม่ให้ตั้งตัว ..ทั้งสองก็เลยต้องรีบเดินทางเพื่อไปบอกกับกษัตริย์ของนาร์เนียให้เร็วที่สุด

================================================

เล่มที่ 4 : กำเนิดนาร์เนีย (The magician's nephew)

เล่มนี้จะเล่าย้อนไปถึงจุดเริ่มต้นว่านาร์เนียเกิดขึ้นได้ยังไง

เรื่องของเรื่องก็คือมีครอบครัวนึงสืบเชื้อสายมาจากตระกูลผู้วิเศษ แล้วเค้าก็มีกล่องๆนึงซึ่งบรรจุผงอะไรซักอย่างที่เชื่อว่าพาเราไปอีกโลกหนึ่งได้ แล้วเด็กที่อยู่ในตระกูลกะเพื่อนอีกคนนึงก็เป็นหนูทดลองในการใช้ผงนี้เดินทางไปโลกต่างๆ ซึ่งก็ได้ไปก่อเรื่องทำให้แม่มดฟื้นคืนชีพ ฯลฯ (รายละเอียดเยอะ ไม่สามารถย่อได้)

สรุปว่าท้ายสุด ก็ไปเจออัสลานซึ่งกำลังต้องการสร้างโลกใหม่ แล้วอัสลานขอให้เด็กไปเอาผลแอปเปิ้ลศักดิ์สิทธิ์จากดินแดนแห่งหนึ่งมา..พอเอามาแล้ว อัสลานก็แบ่งให้เอากลับมาที่โลกมนุษย์เพื่อให้แม่เด็กที่ป่วยอยู่กิน ..พอกินเสร็จก็เอาแกนแอปเปิลไปปลูก พอโตขึ้นมาก็เอาไม้มาทำเป็นตู้เสื้อผ้า ที่ได้พาเด็กๆ 4 คนนั้นไปนาร์เนียได้นั่นเอง

================================================

เล่มที่ 5 : ผจญภัยโพ้นทะเล (The voyage of the dawn trader)

เล่มนี้ต้องย้อนไปถึงตอนเจ้ายแคสเปี้ยนหน่อย ..

คือหลังจากที่เสด็จพ่อของเจ้าชายสวรรคตแล้ว(รู้สึกว่าจะโดนท่านอาปลงพระชนม์) ท่านอาก็สำเร็จราชการแทนโดยออกอุบายให้ทหารคนสนิท 6-7 คน เดินทางออกไปสำรวจทะเลไกลๆ ทั้งๆที่รู้อยู่ว่าคนที่ไปทะเลแถบนั้นแทบไม่มีใครเอาชีวิตรอดกลับมาได้เลย

พอหลังจากเจ้าชายแคสเปี้ยนยึดอำนาจคืนได้แล้ว ก็เลยต่อเรือ แล้วก็ออกเดินทางไปทะเลนั้นเพื่อตามหาทหารที่จงรักภักดีกลับคืนมา ...โดยระหว่างเดินทาง อำนาจของอัสลานก็พาเด็ก 2 คนเล็ก (คนโตแก่ไป มาไม่ได้แล้ว) และเด็กคนใหม่ให้เข้ามาร่วมเดินทางด้วย ..การเดินทางครั้งนี้ เจ้าชายก็ได้พบว่ามีเกาะมากมายที่นาร์เนียไม่เคยรู้มาก่อนว่ามี แล้วก็ได้ข่าวคราวของอัศวินทุกคนที่ต้องการตามหา (แต่บางคนก็ตายแล้ว) ..หลังจากที่รูข้าวทั้งหมด เจ้าชายก็เดินทางต่อไปจนถึงสุดขอบโลก แล้วก็เดินทางกลับนาร์เนียโดยสวัสดิภาพ

==============================================

เล่มที่ 6 : เก้าอี้เงิน (The silver chair)

เล่มนี้พูดถึงกษัตริย์ซักองค์ ที่พระโอรสต้องคำสาปของแม่มดแล้วหายตัวไป ...(จำไม่ค่อยได้)

เด็ก 2 คนจากโลกมนุษย์มาช่วยตามหา (คนนึงเป็นเด็กใหม่ในตอนที่แล้ว ..อีกคนเป็นเด็กใหม่เลย) ...พออัสลานพาเด็กทั้งสองมาถึง ก็บอกสัญญาณให้เด็กใหม่เอาไว้ ว่าให้ทำอะไรบ้าง ..แต่ระหว่างเดินทาง เด็กพลาดสัญญาณไปตลอด ทำให้การเดินทางยากลำบากขึ้นเรื่อยๆ ..

ในท้ายที่สุด ไปเจอแม่มดและเจ้าชายที่ตกอยู่ภายใต้มนต์สะกดในดินแดนใต้โลก (แม่มดกำลังสร้างกองทัพของตัวเอง และขุดอุโมงค์ไปถึงนาร์เนียเพื่อให้บุกเข้าไปโดยง่าย) ..แม่มดจะจับเจ้าชายมัดไว้ที่เก้าอี้เงินทุกคืน..ซึ่งขณะที่นั่งนั้น เจ้าชายจะมีสติครบทุกประการ แต่พอพ้นกลางคืนไป เจ้าชายก็จะต้องมนต์สะกดอีกครั้ง ...แต่แม่มดบอกทุกคนว่าขณะที่เจ้าชายนั่งเก้าอี้เงินจะถูกอำนาจมืดเข้าสิงไม่ให้แก้มัดออก...แต่เด็กทั้งสองคนตัดสินใจเชื่อเจ้าชายมากกว่า เลยถือโอกาสตอนแม่มดไม่อยู่แก้มัดเจ้าชายให้ และทำลายเก้าอี้เงิน ...สุดท้ายเจ้าชายก็สามารถกลับคืนสู่บัลลังก์ได้อีกครั้ง

================================================

เล่มที่ 7 : อวสานการยุทธ์ (The last battle)

ยังไม่ได้อ่าน ..รอก่อนนะ....^^

Saturday, August 20, 2005

หัวหินเป็นถิ่นของเรา ภาค 2 (1)

สืบเนื่องจากคราวที่แล้วนะคะ ...หนุ่มๆ เค้าก็นัดกันว่าอยากมาสังสรรค์กันอีกในอีก 3 เดือนข้างหน้า ...พอครบกำหนด ไอ้พวกที่อยากมาก็นัดกันเรียบร้อย แต่สาวๆครั้งที่แล้วไม่ค่อยจะว่างกัน ...ตอนแรกเลยว่าจะไม่ไปแล้ว แต่บังเอิญมีสาวๆมาแจมเพิ่ม ก็เลยมากะเค้าซะหน่อย (คราวนี้เอาเพื่อนม.ปลายมาด้วยคน ..ท่าทางมันจะช็อคๆไปหน่อย ตอนเห็นเราเล่นกัน ^^')

คราวนี้มาถึงที่พักก่อนเจ้าของบ้าน เลยโทรไปถามว่าจะให้นอนห้องไหน ..มันก็ตอบมาว่า
"ห้องไหนก็ได้ แต่เหลือห้องที่บ้านใหม่ให้ด้วยห้องนึง"

ผลสรุปก็คือ ...หนุ่มโสด 4 คน และคู่รักอีก 2 คู่ นอนกันที่เรือนหลังใหม่ ...ปล่อยให้สาวๆ 6 คนมานอนที่ห้องหมานอน (gent จริง ..เพื่อนตู)


~~~โฉมหน้าเรือนหลังใหม่ ห้องนอนของหนุ่มๆ~~~

~~~โฉมหน้าเรือนเก่า ห้องนอนของสาวๆ~~~

~~~ทะเลงามหน้าที่พัก~~~

พอเก็บของกันเรียบร้อย หนุ่มๆเกิดอยากจะไปไดร์ฟกอล์ฟกัน แต่สาวๆไม่ค่อยมีใครอยากไป เลยแยกกันเที่ยวเลย (-"-) ....จริงไม่ค่อยชอบแยกกันเที่ยวเลยนะ แต่ให้ไปนั่งดูมันตีกอล์ฟก็ไม่ไหว เลยนั่งเล่นกันอยู่ที่บ้านพักนึง ...ถ่ายรูปๆๆๆ (ไม่มีอะไรทำนี่นา)


~~~ศาลากลางสวน~~~

~~~เขยิบออกมาหน่อย~~~

~~~เหม่อมองท้องฟ้า~~~

~~~แล้วก็กระโดดโลดเต้น~~~

~~~แต่กระโดดไม่ค่อยขึ้นอ่ะ ...แย่จัง (^^')~~~

~~~เปลี่ยนๆๆๆ ...หมุนหัวรอบคอแทนละกัน....จังหวะที่ 1~~~

~~~ 2 ~~~

~~~ 3 ~~~

~~~ 4 ~~~

~~~ฮาแตก ...ทำไปได้ไงเนี่ย ????~~~

โปรดสังเกต ...รูปหลังๆมีถ่ายกันอยู่แค่ 3 คน ...ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เนื่องมาจากคนที่เหลือรับไม่ได้ค่ะ ...ไม่สามารถถ่ายได้ เลยขอเป็นผู้ดูแทน

หนุกดีออก ...รูปสวยๆมีเยอะละ ..นานๆถ่ายรูปงี้ที ...ออกจะมีสีสัน ..จริงมะ ??? ^^

แต่ว่าไม่เอาละ ..นั่งอยู่ที่บ้านอย่างเดียวเบื่อตาย ตอนนี้เพิ่งบ่ายนิดๆเอง ...ไปเที่ยวดีกว่า ..ไปพระราชนิเวศน์มฤคทายวันกัน ..ใกล้ๆๆๆ

อ่านตอนต่อไป >>>>



หัวหินเป็นถิ่นของเรา ภาค 2 (3)


ตอนนี้เราก็เข้าโหมดกลางคืนละนะคะ...คราวนี้ฝนตก เลยออกไปตลาดหัวหินไม่ได้เลย Y_Y
แต่ว่าป้าสุขทำกับข้าวไว้ให้เรียบร้อย ก็เลยรอดตัวไป ..ถ้าป้าไม่ทำให้กิน แล้วไปตลาดหัวหินไม่ได้นะ ..คงมีใครอาละวาดแน่ๆๆ..เหอๆๆๆ

มางวดนี้ หลายคนตั้งหน้าตั้งตารอดู Academy fantasia กัน..ไม่น่าเชื่อว่าจะติดกันขนาดนี้ ...ขนาดว่าดูบอลกันอยู่ แต่พอ AF มาก็เปลี่ยนมาดู แล้วก็เปลี่ยนกลับไป update score เป็นระยะๆ ..ไม่น่าเชื่อแฮะ


~~~ระหว่างรอข้าวเย็นค่ะ ..ร้องเพลง พักผ่อนๆๆๆ~~~

~~~ท่านชายกำลังดื่มด่ำในเสียงเพลงค่ะ~~~
"อยากหลับตาอยู่อย่างนั้น ..ทำอยู่อย่างนั้น ฝันถึงเธอเรื่อยไป....."
ประมาณว่า ร้องเอง ..อินเอง ...แต่ไม่สนว่ามีใครอินด้วยรึเปล่า ...เหอๆๆๆ



~~~อาหารมาแล้วเจ้าค่ะ~~~
คราวนี้ป้าสุขเน้นเนื้อวัวแฮะ สเต๊กเนื้อกะมีทบอล แล้วก็แกงเนื้อ (ที่เพื่อนๆบอกว่าอร่อยมาก)
แต่มีเมนูหมู กะปลามาอย่างละจานใหญ่ๆ ...อร่อยดี


~~~มาดูอาหารกันชัดๆหน่อย~~~

หลังจากกินข้าวเย็นกันเสร็จแล้ว (อิ่มมาก) ก็มานั่งพักผ่อน ด้วยการเชียร์ Academy โดยมีทาโร่เป็น commentator รับเชิญ (เพราะไปสมัครแล้วไม่ผ่าน ^^) มา comment แบบสดๆให้ฟัง ...ดูแบบนี้กะเพื่อนๆแล้วสนุกกว่าดูคนเดียวหลายเท่าเลยอ่ะ (พูดยังกะว่าปกติดู)

ระหว่างที่ดู AF ก็มีอาสาสมัครไปซื้อเครื่องดื่มยามค่ำคืนมาให้ คราวนี้หลักๆก็คุณผู้ชายจะกินเบียร์ ..สาวๆ request vodka 1 ขวด แต่คุณผู้ชายลงความเห็นว่าไม่พอ ...ให้ซื้อมา 2 (ได้ข่าวว่ากินกัน 2 คน ...เห็นเพื่อนคอแข็งขนาดไหนเนี่ย ???)

พอเครื่องดื่มมา ก็กินไปดู AF เรื่อยๆนะคะ ..พอ AF จบ ก็มีคนหิวกันอีกรอบ ..ก็เลยต้องบรรเลงมาม่ากันอีกมื้อ

ต้มมาม่า มา 4 ห่อ ..คุณหนุ่มมาที เอาตะเกียบหมุนเส้นมาม่าไปมากกว่าครึ่งชาม ...เจอด่าซะ.....เหอๆๆๆ


~~~กินมาม่ากันค่ะ~~~

ตอนนี้หลายคนก็เริ่มไปแล้วนะคะ ...ที่เหลืออยู่ก็ไปตั้งวงอย่างเป็นการเป็นงานกันที่หน้าเรือนหลังใหม่กัน


~~~เฮฮาๆๆๆ~~~






พอถึงเวลาก็แยกย้ายกันไปนอนค่ะ ......

แล้วแบบว่าคืนนั้นปุ้มไปนอนก่อน ..หลายคนก็เฮฮากันจนเลิก แต่พอตอนเช้า คุณปุ้มก็ตื่นซะคนแรก จะออกไปกินโจ๊กที่ป้าต้มเอาไว้ให้ ก็ไม่มีใครตื่นมาด้วย ..มันก็เลยมาปลุกให้ไปกินเป็นเพื่อน ...แป่วว....ไม่ตื่นค่ะท่าน ..ขอโทษนะเพื่อนรัก เพื่อนง่วงนอนค่ะ อยากนอนต่ออ่ะ แต่ด้วยสำนึกที่ยังมีอยู่ พอปุ้มเดินออกไปซักพักก็เลยตื่นมาไปอาบน้ำอาบท่า แล้วก็ไปนั่งกินด้วย

แต่สุดท้าย ..พอกินเสร็จ ก็ขอตัวนอนต่ออ่ะนะคะ ไม่ไหวๆๆๆ

คราวนี้ก็รอสายๆ จนทุกคนสามารถเรียกสติกลับคืนกันมาได้ ก็มาช่วยกันเก็บซากของเมื่อคืนนะคะ


~~~เก็บซากๆๆๆ~~~

~~~ มีคุณเจ้าของบ้านคอยกำกับ~~~


~~~มาดูหน้าคนอื่นมั่ง ..ไม่ค่อยได้ถ่ายคนอื่นเลยแฮะ~~~
หนุ่มๆเค้ากำลังประสานเสียงกันอยู่ ..สาวๆทำตัวเป็นแฟนเพลงมาขอถ่ายด้วย ..เหอๆๆ


~~~มาถ่ายริมทะเล..ตอนเที่ยงตรงเลย ..ตาจะบอด~~~
มีเครื่องบินบินผ่านมาพอดี ...เหมือนหมามองเครื่องบินมะ ..อิอิ


~~~ถ่ายเสร็จก็เดินกลับบ้าน~~~

เสร็จแล้วเราก็ออกไปกินข้าวเที่ยงกัน ..คราวนี้มีคนเสนอให้ไปกินพิซซ่าริมทะลกัน ..ร้านอยู่ตรงแถวๆโรงแรม Marriot พวกเราก็ทำเนียนไปจอดรถในโรงแรมแล้วก็เดินเลาะชายหาดมากิน ..โรงแรมสวยมากๆอ่ะ แต่แบบว่าท่าทางจะแพงมาก


~~~ระหว่างทางไปกินพิซซ่า~~~


~~~อีกมุมๆๆ~~~

ร้านที่ไปกินเนี่ย ก็เป็นร้านนั่งเก้าอี้ผ้าใบธรรมดา รอนานมากๆๆๆๆ ขนาดไม่มีคนเลยนะเนี่ย (รสชาติธรรมดาอ่ะ แต่ว่าถ้าไม่รีบก็มานั่งกิน ชิวๆดี)


~~~บรรยากาศที่นั่งกิน~~~


ทาโร่ (ซึ่งนั่งอยู่คนละมุม) : ไหนใครลองแอบถ่ายหน่อยดิ อยากรู้ว่าหน้าเหมือนมดดำป่ะ
~~~เหมือนมั๊ยละคะท่าน ~~~


~~~พิซซ่า ถาดเล็กๆ ..ซึ่งสั่งกันมาหลายถาดจัด~~~

เสร็จแล้วก็แยกย้าย มากินไอติมกันต่อ

~~~ร้านไอติมที่คนที่มาหัวหินหลายคนต้องมากิน ~~~


~~~นั่งกินให้หมดในร้านเนี่ยแหละ ..เดี๋ยวละลาย~~~

เสร็จแล้วก็กลับไปที่บ้านอีกรอบ ..เก็บของๆๆ เตรียมตัวกลับกรุงเทพแล้วจ้า.....


~~~เก็บของๆๆๆ~~~


~~~ฝนกำลังจะตกแล้วอ่ะ ..โชคดีเหมือนกันแฮะ~~~

ขากลับก็ต่างคนต่างไป ...เราแวะ outlet กันแปปนึง คุณหนุ่มได้เสื้อผ้ามาอย่างเพียบบบบ ...แต่คนอื่นไม่ได้อะไรเลย แล้วก็ไปแวะแม่กิมลั้งซื้อขนมกลับบ้าน (คราวนี้คุณแม่ order มา ไม่งั้นคงไม่ซื้อหรอก) ...แล้วก็แวะกินข้าวเย็นกันที่เจ๊แดง สั่งมาเยอะมากๆๆๆๆๆขอร้อง

แบบว่าไปกัน 5 คน สั่งกับข้าวที่เจ๊แดง 7 อย่าง แต่ละจานก็ใช่ว่าเล็กอ่ะนะ (คราวก่อนเพื่อนๆมากัน 3 คน สั่งไป 2 จาน แล้วยังมีห่อกลับไปให้ที่เหลือกินอ่ะ คิดดู) ...แต่คราวนี้หมดค่ะ ..หมดเลย ..อิ่มมากๆ แล้วกินเสร็จก็ตรงกลับบ้านนอน ...เฮ้อ ...คือแบบว่าจะมาอ้วนเอาก็มื้อสุดท้ายเนี่ยอ่ะนะ


~~~มื้อสุดท้ายที่เจ๊แดงค่ะ~~~

กลับถึงกรุงเทพซักเกือบ 4 ทุ่มได้ ...อิ่มมากกว่าเหนื่อยแฮะ ...คุยกันเรื่องทริปหน้าละ ..หนุ่มๆอยากไปสิมิลันกัน แต่เราอยากไปหลวงหระบาง ..คงต้องเลือกซักที่แฮะ ...เที่ยวเยอะขนาดนี้ เงินหมดพอดี ...เฮ้อ