Sunday, October 18, 2009

ที่มาที่ไป -DIY skincare

เรื่อง ของเรื่องเลย คือ ตั้งใจจะเพิ่มสินค้าในกลุ่มของผิวกาย ก็เลยเริ่มไปเข้าคอร์สอบรมต่างๆ ให้รู้จักพวกส่วนประกอบในเครื่องสำอาง เพื่อเป็นข้อมูลในการดูคุณภาพของผลิตภัณฑ์ .. ตอนแรกก็เรียนเน้นไปเรื่องของครีม โลชั่นนะ แต่ไปๆมาๆกลับรู้สึกว่า "สบู่" มันมีอะไรให้เรียนรู้อีกเยอะ สุดท้ายสินค้าสำหรับผิวกายตัวแรกของเดียร์เลยกลายเป็นสบู่ไปซะนี่ ไหนๆก็ไหนๆ เอาความรู้เรื่อง "สบู่" มาแชร์กันหน่อยละกันเนอะ~~~

DIY Skincare ในนี้ส่วนมากเลยจะเน้นเรื่องสบู่เป็นพิเศษ (เนื่องจากปกติชอบสบู่อยู่แล้่ว) แต่อย่างอื่นก็จะมีเสริมมามั่ง แล้วแต่อารมณ์ (^^)


หน้าตาบรรดาของที่เคยทำมา


ต้องออกตัวก่อนว่า เดียร์ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญเรื่องพวกนี้นะ เดียร์เขียนจากข้อมูลที่ search เจอบ้าง ไปเรียนบ้าง ถามจากผู้เชี่ยวชาญบ้าง และเดียร์เองได้ลองทำดูเองบ้างเล็กน้อยพอเป็นประสบการณ์ ดังนั้น หากมีจุดไหนที่เดียร์เข้าใจผิด เดียร์ฝากแจ้งเดียร์ เพื่อนำมาแก้ไขด่วนนะคะ ....ขอบคุณมาก ณ ที่นี้ค่ะ

แหล่งข้อมูลที่ขาดไมไ่ด้ .... www.thaibubbles.com ต้องขอบคุณพี่ๆน้องๆที่นี่เป้นอย่างมาก ถ้าไม่มีที่นี่ ไม่มีทางทำพวกนี้เป็นอย่างแน่นอน ~~~

เนื่องจากทำสบู่เป็นหลัก ....ก่อนอื่น...เรามาทำความรู้จักคำว่า "สบู่" กันก่อนนะคะ


สมัย โบราณเค้าจะเอาน้ำมันมากวนกับน้ำขี้เถ้า ทิ้งไว้ซักระยะก็จะได้ก้อนแข็งๆออกมาก้อนหนึ่ง เอาไปใช้ทำความสะอาดร่างกายได้ ... นักวิทยาศาสตร์ในปัจจบันก็เขียนสมการของกระบวนการอันนี้ตามภาษาบ้านๆออกมา เป็น

น้ำมัน + โซดาไฟ (น้ำขี้เถ้าแหละ) = สบู่ + กลีเซอรีน

ดังนั้น "สบู่" ในที่นี้ ก็น่าจะหมายถึงสารที่มีคุณสมบัติในการชำระล้างสิ่งสกปรก ส่วนกลีเซอรีนก็คือสารที่ช่วยให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวหนัง ทำให้สบู่ที่กวนจากกระบวนการตามธรรมชาตินี้ ไม่จำเป็นต้องไปสรรหาอะไรมาใส่เพิ่มเติมก็ได้ ..แค่กระบวนการปกติของมันก็สามารถบำรุงผิวได้อยู่แล่ว (จริงมะ??)

แต่ๆๆๆๆ เห็นสมการง่ายๆอย่างนี้ การทำสบู่ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดนะ...อิอิ


เอ... มันก็ไม่น่ายากนี่น่า... ทำไมสบู่มันถึงมีอะไรให้เรียนรู้เยอะล่ะ

ถามง่ายๆเลย... ถ้าอยากทำสบู่ดีๆซักก้อนนึง เราจะเอาน้ำมันอะไรมากวนสบู่ดีล่ะ ??

อึ้งไปเลย ... 555
ขนาดเดินไปในซุปเปอร์ จะเลือกน้ำมันมาทอดหมูยังมีน้ำมันตั้งไม่รู้กี่แบบ คราวนี้ให้เลือกมาทำสบู่จะเอาน้ำมันอะไรดีละนี่ย ??

เพื่อให้เข้าใจง่ายๆ เดียร์ขอแบ่งปัจจัยหลักที่มีผลต่อคุณภาพของสบู่ออกเป็น 2 เรื่องละกันเนอะ

1. ชนิดของน้ำมันที่จะนำมาใช้


เห็น สบู่ก้อนเล็กๆแค่นิดเดียวเนี่ย จะบอกว่าคนใช้ก็ต้องการอะไรจากมันเยอะนะ ...ฟองต้องเยอะมั่งละ เนื้อต้องแข็ง ไม่ยุ่ยน้ำ อาบแล้วต้องไม่ให้ผิวแห้งตึง แต่เอาแบบล้างออกง่ายๆนะ ล้างออกยากไม่เอา บลาๆๆๆ ~~~
ทั้งหลายทั้งปวงนี้เป็นผลมาจากคุณสมบัติของ "น้ำมัน" นั่นแหละ

น้ำมัน ในโลกนี่ก็มีไม่รู้กี่ 10 แบบ ทั้งจากสัตว์ จากเมล็ดพืช จากดอกไม้ ฯลฯ อีกมากมาย แต่ละตัวก็จะมีค่าต่างกัน เช่น น้ำมันมะพร้าวให้ฟอง แต่ทำให้ผิวแห้ง, น้ำมันรำข้าวให้วิตามิน E บำรุงผิว แต่ไม่มีฟอง เป็นต้น

ดัง นั้น ในการกวนสยู่แต่ละครั้ง เราก็ต้องรู้ข้อมูลเกี่ยวกับน้ำมันพอสมควรทีเดียว จะได้มั่นใจได้ว่าสบู่ที่เราจะกวนให้ผลตามแบบที่เราต้องการจริงๆ
ทีนี้ ถามว่า..ไม่มีสูตรสำเร็จตายตัวสำหรับสบู่ที่ดีที่สุดหรอ ??
จะขอตอบว่าามันก็มีสบู่สูตรมาตรฐานที่ใช้ได้ทั่วๆไป แหละ แบบไม่ต้องคิดมาก ...
แต่ ถ้าเอาให้เวอร์หน่อย (แต่ดีจริงๆ) สุดยอดสบู่มันก็ต้องดูสภาพผิว ความชอบ แล้วก็อาจจะต้องพ่วงที่สภาพอากาศตอนที่จะใช้ด้วย จริงมะ ?? หน้าหนาวก็ใช้แบบที่บำรุงผิวหน่อย แต่หน้าร้อนก็ใช้แบบที่สะอาดๆหน่อยเป็นต้น (^^)
2. ปริมาณของโซดาไฟ

ในการทำสบู่นี่ ฝรั่งเค้าเรียกกระบวนการที่น้ำมันกับโซดาไฟทำปฏิกิริยากันว่า Saponification หรือ Saponify ซึ่งสบู่จะทำมาใช้ได้ก็ต่อเมื่อกระบวนการนี้เสร็จสิ้นแล้ว แต่โดยปกติเค้าจะไม่ให้มันทำปฏิกิริยากันแบบสมบูรณ์ 100% ซะทีเดียวแต่จะให้เหลือน้ำมันส่วนเกินเล็กน้อย เพื่อให้นำมันนั้นบำรุงผิวไปในตัว เรียกว่า superfat ซึ่งโดยปกติจะ superfat กันอยู่ที่ 5%-8%
ประเด็นที่เราต้องระวังในการใส่โซดาไฟ คือ
2.1 ปริมาณโซดาไฟในการ saponify กับน้ำมันแต่ละชนิด ไม่เท่ากัน หมายความวาา ถ้าเปลี่ยนน้ำมันเมื่อไหร่ ปริมาณโซดาไฟต้องเปลี่ยนตามไปด้วย
2.2 อย่าลืม Superfat เพราะ้ถ้า superfat น้อยเกินไป จะเกิดโซดาไฟส่วนเกินซึ่งอาจจะระคายเคืองต่อผิวได้ หรือในทางกลับกัน ถ้าโซดาไฟน้อยเกินไป จะเกิดน้ำมันส่วนเกินซึ่งจะทำให้สบู่เหม็นหืนได้ง่าย หรือสบู่นิ่มเป็นต้น

ทั้ง 2 ปัจจัยข้างต้น เป็นแค่ปัจจัยหลักที่มีผลโดยตรงนะ แต่นอกนั้นจะมีปัจจัยอื่น เช่น อุณหภูมิขิงโซดาไฟและน้ำมันตอนที่ผสมกัน ความชื้นในอากาศขณะนั้น หรือกระทั่งระยะเวลาที่ทิ้งไว้ตั้งแต่กวนสบู่เสร็จ จนกระทั่งนำมาใช้ (ปกติต้องทิ้งไว้หลังจากกวนเสร็จแล้วเป็นเวลาประมาณ 1 เดือน จึงจะแน่ใจได้ว่าไม่เกิดอันตรายกับผิว)

เห็นมะ ?? ว่าการทำสบู่เนี่ย มันมีอะไรให้เรียนรู้เยอะเหมือนกันนิ


หมดเรื่องราวของ "สบู่" แต่เพียงเท่านี้ แต่ว่าอยากแถมเรื่องสบู่เหลวนิดนึงดีกว่า



ทำความเข้าใจเกี่ยวกับ "สบู่เหลว" ในปัจจุบันกันซักเล็กน้อยนะคะ


เนื่องจากนิยามของ "สบู่" ที่เขียนมาข้างต้นแล้วเนี่ย ก็จะพบว่า เราจะเรียกว่า "สบู่" ได้ก็ต่อเมื่อเกิดปฏิกิริยาระหว่าง น้ำมันกับโซดาไฟ แต่ว่าถ้าเราไปพลิกดูส่วนผสมของสบู่เหลวในปัจจุบันแล้วเนี่ย แทบจะไม่มียี่ห้อไหนเลยที่เกิดจากปฏิกิริยาดังกล่าว เลยมีคนบอกเอาไว้ว่า สบู่เหลวในปัจจุบัน เป็น "สบู่เหลวเทียม" ซะมากกว่า

สบู่เหลวเทียม คืออะไร ?

เอาจริงๆมันก็คือของเหลวอย่างนึงที่เอามาทำความสะอาดร่างกายได้แหละ โดยมีส่วนประกอบหลักคือสารชำระล้าง หรือว่าสารที่ทำให้เกิดฟอง ซึ่งเป็นสารประเภทเดียวกับผงซักฟอก หรือสารอื่นๆที่ทำให้มีฟอง ...และเจ้าตัวนี้แหละที่ทำให้หลายคน ไม่ชอบใจอยู่ลึกๆ

ถ้าให้พูดเรื่องสารชำระล้างนี่ยาว (แอบข้อมูลไม่ปึ๊กด้วย) แต่เอาง่ายๆก็คือว่า สารกลุ่มนี้ประเภทหนึ่งที่เรียกกันว่า SLS หรือ SLES เคยมีประเด็นว่าอาจจะเป็นอันตรายต่อร่างกายได้ ทำให้เกิดกระแสกันอยู่พักนึง แต่สุดท้ายสำหรับประเทศไทย อย. ก็แจ้งออกมาว่าไม่เป็นไร (ถ้าจำไม่ผิด เพราะว่าสารพวกนี้จะเป็นอันตรายเมื่อใช้ในปริมาณที่เข้มข้น และต้องอยู่บนผิวหนังนานมากๆ ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว เราไม่ได้อาบน้กันนานขนาดนั้น)

จริงๆแล้วนอกจาก SLS, SLES ยังมีสารชำระล้างประเภทอื่นๆที่มีเอามาใช้เหมือนกัน แต่พวกนี้มักจะราคาแพงและฟองน้อยกว่า ผู้ผลิต mass ส่วนใหญ่จึงไม่นิยม (ส่วนมากสบู่ยาจะใช้)

สรุปก็คือว่า ต่อให้เป็นสบู่เหลวเทียม ก็ใช้ได้ ไม่มีปัญหา เพียงแต่ว่าคนที่ผิวแพ้ง่ายมากๆ ก็จะมีโอกาสระคายเคืองได้ง่ายตามไปด้วยเท่านั้นเอง

No comments: