Tuesday, August 26, 2008

ปักกิ่ง (Outing)

ปีนี้พี่ๆใจดีอีกแล้วววว พาไปเที่ยวไกลถึงปักกิ่งโน่นนนแน่ะ (จริงๆตอนโหวตมีหลายที่ แต่ไม่รู็ว่าที่ปักกิ่งจะหนาว เลยโหวตมันที่นี่ ...มาถึงเลยหนาวสะใจกันไปเลย)

วันแรกมากันไม่ครบซะทีเดียว เนื่องจาก PP ติดธุระจะตามมาตอนเย็น Bell ก็ติดธุระเหมือนกัน จะตามมาพรุ่งนี้เช้า ส่วน ES ไม่ได้มาด้วยเพราะว่ามีประชุมที่ขาดไม่ได้ (Y_Y) มา outing คราวนี้ก็เลยไม่ครบบริษัทอีกจนได้ (แต่ถึงครบยังไงก็ยังมีที่นั่งบนรถบัสเหลืออยู่ดี ..บ. เล็กๆก็งี้แหละ ..คล่องตัวดี)

ปล. รูปในนี้ส่วนมากเอามาจากกล้องเรากะแมกซ์ มีบางส่วนที่เป็นกล้องพี่ลอย ..ขอให้เครดิตเจ้าของภาพไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะคะ

เราออกเดินทางตอนกลางคืน ..เช้านี้แต่ละคนเลยสลึมสะลือใช่ย่อย เริ่มกันที่วัดลามะยงเหอกง ที่เคยเป็นที่ประทับของจักรพรรดิ์ิ์หย่งเจิ้น (พ่อของเฉียนหลง - ในวัดมีอ่างอาบน้ำของเฉียนหลงในวัยเด็กด้วย)

วัดนี้ว่ากันว่าได้รับการบูรณะดีที่สุดในปักกิ่ง แถมเป็นศูนย์กลางของศาสนาพุทธมหายานอีกด้วย ข้างในมีรูปสลักของพระศรีอารย์ สูงถึง 23 เมตร ที่แกะมาจากไม้จันทน์เพียงชิ้นเดียว (ใหญ่มาก แต่ในวิหารมืดจัด)



วัดจีนจะสร้างเป็นชั้นๆตามรูปทางขวา ชั้นในสุดคือพระที่สำคัญที่สุดตามลำดับ




ภายในวัดลามะยงเหอกง จากรูปข้างบน ในรูปขวาล่าง จะเป็นแบบจำลองให้เห็นว่าส่วนบนสุดคือสวรรค์ ตรงกลางเป็นโลก แล้วก็ข้างล่างสุดคือนรก เชื่อกันว่าถ้าใครโยนเหรียญไปตกที่ไหนก็จะได้ไปเกิดใหม่ที่นั่น ทั้งบ. มีคนลองโยนอยู่ 3 คน คือ เรา แมกซ์ แล้วก็อ้น เรากะแมกซ์ได้ขึ้นสวรรค์ทั้งคู่ ส่วนคุณอ้นโยนแรงจัด ตัวเองตกนรกไม่พอ ไปดึงคนอื่นที่อยู่บนสวรรค์ให้ตกลงมาด้วยเป็นแถบๆ 555 ปล. ทั้งนี้ ทั้งนั้น อันนี้ต้องการจะบอกแค่ว่า คนจะขึ้นสวรรค์ มันยากกว่าลงนรกเท่านั้น การโยนเหรียญนี่แค่เป็นลุกเล่นเล็กน้อยจ้่าา

ออกจากวัด ก็ไปนั่งสามล้อชมเมืองเก่า ที่เรียกว่า "หูถง" อดีตแถบนี้เป็นกำแพงเมือง มีบ้านเรือนปลุกกันอย่างหนาแน่น ตอนนี้รู้สึกเหมือนรัฐก็จะพยายามอนุรักษ์ไว้่นะ

บรรยากาศที่นี่ก้เป็นบ้่านเมืองโบราณธรรมดา แต่ว่าคนที่นี่ดูยากจนอ่ะ (ไม่รู้จนจริงหรือแค่สภาพบ้านเมือง) บางที่ก็ดูบ้านพังๆไปเหมือนกัน บางทีมันเห็นแล้วหดหู่ (คือถ้ารัฐจะให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวน่าจะมาดูแลมากกว่านี้หน่อยนะ)



สามล้อชมเมืองหูถง


สามล้อมาเราทะลุมาที่ทะเลสาป (หรือบึงก็ไม่รู้) วิวรอบทะเลสาปก็เป็นแบบเมืองจีนทั่วไป (ต้นไม้รอบๆ กะเก๋งจีนเป็นหย่อมๆ) ไม่มีอะไรโดดเด่นเป็นพิเศษ แถมบรรยากาศออกขมุกขมัวเล็กน้อย ก็เลยถ่ยรูปเล่นกันไปเรื่อยๆ จนกว่าจะได้เวลากลับนั่นแหละ




จบจากนั่งสามล้อชมเมือง เค้าก็พาเราไปกินอาหารฮ่องเต้

...ไอ้อร่อยนี่มันก็พอจะอร่อยได้อยู่หรอก ..แต่มันมากกกก ถ้าฮ่องเต้จีนกินอย่างนี้ทุกวันจริงนี่แอบสงสัยว่าคนครัวตั้งใจจะบำุรุง หรือปลงพระชนม์กันแน่ ...ให้เราไปกินอย่างนี้ 3 วันนี่ไขมันพุ่งปรี๊ดชัวร์

จากรูป..อันซ้่ายบนนี่ถ่ายตอนเพิ่งมา ถ้าทิ้งไว้ซักพักนี่น้ำมันเยิ้มออกมาจนจะล้นจานอยู่ละ
เท่านั้นไม่พอ ข้างในถังไม้เนี่นมนเป็นชาม ลองเอาช้อนลงไปจิ้มดู คราบน้ำมันติดขึ้นมาสูงเกือบเต็มช้อน น่ากลัวมากๆๆๆ

กินเสร็จก็ได้เวลาชอปปิ้งที่ตลาดรัสเซีย (วันนี้ไกด์ไม่พาเที่ยวเยอะ เพราะรอให้พลพรรคมาครบก่อน) พี่ไกด์เืตือนว่าให้ต่อในราคาที่เราต้องการซื้อเลย ถ้าต่อแล้วต้องเอาด้วย ไม่งั้นเจอด่าเละ

เราก้พอจะเข้าใจอ่ะนะ ว่าชอปที่จีนเนี่ย ต้องต่อแหลก ไม่งั้นจะโดนฟันเอาง่ายๆ แต่ว่าที่นี่น่ากลัวจริงๆ ..ทำเอาอึ้งไปหลายนาที

**** ขอเล่าเรื่องการต่อราคาที่ตลาดรัสเซียเล็กน้อย*****
เรื่องของเรื่องก็คืออยากหาซื้อกระเป๋าให้แม่ ...จริงๆไม่ได้คิดจะซื้อของแบรนด์ แต่เดินๆแล้วมันมีอันที่ถูกใจ ก็เลยลองถามราคา..พี่แกเปิดราคามาที่ 900 - 950 หยวน ...แม่เจ้า ใครจะไปซื้อลงวะ เราเดินออกทันที พี่แกก็มาดึงมือไว้ (แม่ค้าที่นี่แอบน่ากลัวมาก) บอกว่าให้เราต่อ (เค้าพูดไทยได้) ตอนแรกเราก็อ้ำอึ้งไม่กล้าต่อ แต่เค้าก็ยืนยันให้ต่อ แล้วก็เริ่มลดราคามาเหลือ 800 เราก็นึกในใจว่าจริงๆถ้า 100 หยวนก็พอรับได้ แต่ต่อไปบอกว่ารับได้ที่ 80 (ในใจตึกตักๆๆกลัวโดนตะเพิดออกมาจากร้านเหมือนกัน)

ตอนแรกแม่ค้าไม่ให้ ค่อยๆลดลงมาเป็น 400, 300 ตามลำดับ เราก้แบบไม่เอาๆๆ ยืนยัน 80 ตามเดิม สุดท้ายก็ได้ราคานี้ ...แม่เจ้าาา จาก 900 เหลือ 80 ... ใครมันจะไปรู้ว่าต้องต่อขนาดนี้วะ ???

ปล. แต่อันนี้อาจจะแล้วแต่ร้านนะ เพราะเมย์จะไปซื้อเสื้อร้านนึงมันก็ต่อเยอะ แม่ค้าบอกว่า 500-600 เราต่อเหลือ 100 มั้ง (ให้ซื้อแพงกว่านี้ก็ไม่เอาอ่ะ) เจอแม่ค้าด่าแหลกเลย พอต่อปุ๊บ แม่ค้า ตะโกนขึ้นมาว่า "Are u a stealer? " แล้วก็พ่นภาษาจีนจนคนหันมามองเป็นแถบๆๆ ..อายไปเลยอ่ะ (ก็ตอนแรกจะเดินออกแล้วบอกให้ต่อ พอต่อแล้วทำไมมาด่าเล่าวะ)


ร้านค้าในตลาดรัสเซีย ..ตอนเย็นก็กินสุกี้มองโกลที่ชั้น 2 หรือ 3 ของที่นี่แหละ

เสร็จแล้วก็ไปดูปักกิ่งไนท์โชว์ เีสียดายได้ที่นั่งแถวหลังสุด แต่ด้วยพลังเลนส์ซูมของแมกซก็เลยได้รูปออกมาชัดแจ๋วแบบนี้แหละ

โชว์ดูอลังการดี แต่แบบว่าไม่มีอะไรบรรยายเลย (จริงๆมียรรยายเป็นภาษาจีน) เลยแอบดูไม่รู้เรื่อง ..รู้แค่นางพญางูขาวตอนเดียวเอง~~~

อ้อ ..สาวๆที่โชว์นี่เอวบางยังกะจะหัก เห็นซี่โครงเป็นซี่ๆ น่ากลัวเจงๆๆๆ (เห็นแล้วอยากแบ่งเนื้อไปให้ซัก 5 โล)


วันที่ 2 : วันนี้พลพรรค Claris มารวมตัวกันครบแล้ว ... มาเริ่่มโปรแกรมที่ พระราชวังฤดูร้อน อี้เหอหยวนกันก่อน

ที่นี่เกิดขึ้นเพราะความต้องการของพระนางซูสีไทเฮา ให้สร้างเป็นตำหนักพักร้อน โดยอยากให้มีทะเลสาปที่คล้ายกับทะเลสาปซีหูในแถบๆเซี่ยงไฮ้ ...ลำยากประชาชนต้องมาจุดทะเลสาป แล้วเอาดินที่ได้จากการจุดไปถามเป็นเขาว่านโซว ข้่างๆแทน


ตัวตำหนักของอี้เหอหยวน กะสาวๆ Claris (ที่มีแต่หมวยๆ)

ทะเลสาปเลียนแบบซีหู กะเขาว่านโซว

รู้สึกที่นี่จะเคยเป็นที่ขังของฮองเฮาองค์ไหนซักองค์ด้วย
ไม่แน่ใจว่าใช่ห้องนี้หรือเปล่า

พ้นจากโซนตำหนักไป ก็จะเดินเลาะทะเลสาปไปเรื่อยๆ ตามทางเดินจะมีภาพวาดอยู่บนเสา และคานเต็มไปหมด ถือเป็นแหล่งข้อมูลที่ดีของคนอยากรู้ประวัติศาสตร์จีน (ไกด์จีนของเราบอกว่าเค้าเรียนประวัติศาสตร์มาเค้ายังรู้ไม่ถึงครึ่งของที่นี่เลย)


เส้นทางศึกษาประวัติศาสตร์


เรือพระที่ันั่ง(รึเปล่า??) สมัยโบราณ

เสร็จแล้วเราก็ไปหอฟ้าเทียนถานกัน ..ตรงนี้ต้องทำเวลาหน่อย ไม่งั้นเราจะไปไม่ทันเค้าปิดหอ (ที่หอนี่เค้ามี 3 ชั้น แต่ชั้น 3 เพิ่งเปิดให้เข้า ..ต้องรีบหน่อย เพราะถ้าไปไม่ทันจะเสียดายแย่)

ที่นี่สร้างขึ้นสมัยแมนจู เป็นที่ที่เชื่อว่ากษัตริย์สามารถคุยกับสวรรค์ได้ ตรงลานหินในชั้นที่ 1 จะมีหินก้อนกลมๆ อยู่ตรงกลาง ถ้าไปยืนบนนี้แล้วอยากบอกอะไรไปให้สวรรค์รู้ สวรรค์จะได้ยิน

พวกเราก็่ค่อยๆเดิน ค่อยๆฟังไกด์บรรยายไป แต่พอไปถึงตรงลานหินก็พบว่า PP ไปต่อแถวเรียบร้อยแล้ว (เร็วมั่กๆๆๆ)



เสร็จจากชั้นที่ 1 ก็มุ่งหน้าเข้าชั้น 3 เลย (คาดว่าเพราะไม่ทันแล้วว) ตอนเดินๆอยู่คนกำลังจะปิดพอดี ต้องวิ่งกันอุตลุด คนสุดท้ายก็ได้เข้ามาตอนประตูปิดพอดี (ขอบคุณคุณลุงเฝ้าประตูด้วยนะคะ)

ในชั้นนี่จะมีเสากี่ต้นไม่แน่ใจ แต่มีความหมาย ประมาณว่า 12 ต้นแทน 12 เดือน, 7 ต้นแทน 7 วัน แล้วก็ 4 ต้นแทนฤดูกาลหรือไงเนี่ย (แบ่งออกเป็น 3 ชั้นตามลำดับ) >>> อันนี้ไม่ค่อยแน่ใจนะ ข้อมูลอาจเพี้ยนได้


หอเทียนถานชั้น 3 (เย็นมากแล้ว ไม่ค่อยมีแสงเ่ท่าไหร่ แถมอากาศหนาวมากด้วย)

โปรแกรมสุดท้ายวันนี้ คือไปดูโชว์กังฟูเส้าหลิน อันนี้ดีกว่าปักกิ่งไนท์โชว์หน่อยตรงที่มีบรรยายภาษาอังกฤษให้ (แต่อ่านไม่ทัีน --') พอจะเข้าใจบ้าง แต่เนื่องจากเก้าอี้นั่งสบายจัด เลยหลับไปไม่รู็้ตัว เหอๆๆๆๆ (ตอนดูปักกิ่งไนท์โชว์ นั่งโต๊ะกินข้าวธรรมดาก็หลับเหมือนกันแหละน่าา)

วันที่ 3 แล้วววว : ไฮไลท์วันนี้คือไปกำแพงเมืองจีีนกันเน้อ ~~~

ด่านที่เราจะไปนี่คือด่านป้าต่าหลิง (Pass of Padaling) ซึ่งด่านนี้ถือว่าสำคัญที่สุดของปักกิ่ง ถ้าด่านนี้แตก กรุงปักกิ่งก็จะแตกตามไปด้วย ...เท่านั้นไม่พอ ด้านบนของด่านยังมีลายมือของประธานเหมาเจ๋อตุง (น่าจะนะ) เขียนเอาไว้ประมาณว่าถ้าเป็นลูกผู้ชาย ต้องได้ขึ้นมาที่ด่านนี้ มันก็เลยยิ่งกลายเป็นที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวไปกันใหญ่เลยน่ะสิ

คนส่วนมากจะคิดว่ากำแพงเมืองจีนถูกสร้างสมัยจิ๋นซีฮ่องเต้ แต่เราจำได้ว่า ตอนเด็กๆดูุเจ้าแม่กวนอิมเวอร์ชั่นเจ้าหย่าจือเล่นแล้ว องค์หญิงเมี่ยวซ่านนี่แหละที่เป็นคนบอกให้สร้่างกำแพงเมือง (ตอนนั้นบอกโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ แต่หลังจากนั้นรู้สึกผิดมากที่ทำให้ชาวบ้านเดือดร้อน) ด้วยความที่อยากรู้ เลยไปค้นประวัติดูพบว่า องค์หญิงเมี่ยวซ่านนี่เกิดในสมัยราชวงศ์โจว (ยุคก่อนที่จะรวมแผ่นดิน) แล้วก็มีอีกที่บอกว่า จริงๆกำแพงเมืองจีนนี่สร้างตั้งแต่สมัยราชวงศ์โจวแล้่ว แต่ว่ากระจัดกระจายอยู่ แล้่วพอสมัยจิ๋นซีนี่ก็สร้างเพิ่มเพื่อเชื่อมกำแพงเหล่านั้นด้วยกัน จนเป็นปึกแผ่นอย่างทุกวันนี้แลลลล


วิวตั้งแต่ขึ้นกระเช้า จนไปถึงกำแพงเมือง มีคนขายของที่ระลึกประปราย


ตรงที่คนเยอะๆนั่นคือรอถ่ายรูปกะป้ายลายมือของเหมาเจ๋อตุง
(ในภาพเขียนผิด ต้องเป็นประธานเหมา ไม่ใช่ ดร.ซุนฯ)

เราเดินขึ้นมาเรื่อยๆจนมาเจอด่านนี่เป็นจุดสูงสุด ..ถ้าจะเดินต่อไปก็ได้ (แต่เราไม่เดิน 555) คุณท๊อปเดินไปซะไกล ..ถามว่ามีไรรึเปล่า ..ก็ได้รับคำตอบว่าไม่มี (ดีแล้วที่ไม่ไป)

ถ้ามาเดินเที่ยวธรรมดาย่อมไม่ใช่พี่ปราโมทยย์
เีราอยู่บนป้อมสังเกตการณ์ไกลๆ เห็นได้ว่าคนมองเพียบบบบ


ดูรูปน้องดอกปีปทางขวามือแล้วท่าทางจะหวั่นๆเอาการอยู่ (แต่น้องเค้าน่าร๊ากก เชื่อฟังคุณพ่อสุดๆ)

พอสมควรแก่เวลาก็ไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งต่อ ที่นี่ทำดีมากเลย ... สร้างหุ่นขี้ผึ้งเล่าประวัติราชวงศ์หมิงตั้งแต่องค์แรก ถึงองค์สุดท้าย (13 องค์) พี่ไกด์ก็ข้อมูลแน่นสุดๆ ถ้าอัดเทปได้นี่ไม่ต้องอ่านหนังสือเลย (แต่ตอนนี้จำไม่ได้แล้ว)

อ้อ จำได้่าองค์สุดท้ายนี่ผูกคอตาย (หลังจากที่ถูกกบฏชาวนาโค่นล้ม) แล้วก็มีเรื่องของอู๋ซานกุ้ยที่สมคบกับแมนจูทำให้แมนจูเข้ามาปกครองด้วย

ปล. ถ้าจะเอากล้องเข้าที่นี่ ต้องเสียตังค์นะ ..แต่คุณแมกซ์ก็ยอมเสียอยู่ละล่ะ


ตัวอย่างหุ่น
(แต่ขวาล่างนี่ไปทำเนียน)

จากนั้นก็ไปเยี่ยมชมโรงงานบัวหิมะ (ก่อนหน้านี้มีไปศูนย์แพทย์โบราณ แต่ไม่ได้พูดถึง)
ที่นี่ยังสาธิตครีมดดยเอามือไปลวกเหล็กเผาไฟร้อนๆอยู่ (อยากให้เลิกวิธีนี้จัง น่าสงสารคนสาธิต) ..เค้าบอกว่าวันนึงเค้าทำ 2 รอบ ขวา 1 รอบ ซ้าย 1 รอบ


เครื่อง Scan เส้นเลือดที่ว่า

เสร็จแล้วเราจะไปถนนต้าฟู่จิง (อากาศหนาวมากๆๆ) ตรงที่เราลงรถจะเป็นโซนให้ Shopping แล้วเดินไปอีกหน่อย จะเป็นโซนของกิน อยากกินอะไรมีให้กินหมด (มีแต่ของประหลาดๆ) ...ของอย่างนี้ต้องทดสอบซะหน่อย (ตอนนี้ PP, พี่ลอย เบลล์ แยกไปทำธุระ เลยเหลืออยู่แค่เนียะ)


ตรงนี้เป็นโซน Shopping


ตรงโซนของกินจะมีของกินอยู่ตลอดทาง

คนที่ชอบเนือแกะ เนื้อแพะเค้าบอกว่าอร่อย~~~


พวกเราแอบซื้อปลาดาวมาลองกินกัน (ปลาดาวร่วมสาบาน กินกันทุกคน) รสชาติมันขมๆอ่ะ คือไม่รู็ว่าทอดจนมันขมเลยไม่รู้รสชาติจริงๆของมันรึเปล่า ...แต่กินไปแล้วมีแต่รสขมๆฝาดๆอย่างเดียว ไม่อร่อยเลยอ่ะ

เมนูที่ 2 ของตุ๋นที่ซื้อมากินคือที่เป็นโถๆๆ เราถามเค้าว่าใช่มกเถี่ยวเซี้ยหรือเป่า (พระกระโดดกำแพง) แต่เค้าบอกไม่ใช่แล้วก็พูดภาษาจีันออกมายกใหญ่ (ฟังไม่รู้เรื่องแล้ว) ก็เลยช่างมัน ...แต่มันมันมากกกกก แบบว่าไอ้ที่ใส่ลงไปตุ๋นนี่ท่าทางจะอิ่มไปด้วยไขมันสุดฤทธิ์ (มันหอมดีนะ แต่ซดน้ำไม่ไหวอย่างแรง)

อันที่ 3 คือซาลาเปาไส้น้ำข้าว (เห็นมันดูน่ากิน คาดว่าน่าจะเหมือนเสี่ยวหลงเป่า) ท๊อปเลยซื้อมา พอดูดเข้าไปเท่าน้นแหละ ..น้ำข้าว หรือน้ำละลายแป้งที่ไม่สุกก็ไม่รู้ รสชาติเห่ยเฟ่ย เอาไปทิ้งแทบไม่ทัน

อันที่ 4 บัวลอยน้ำซุป เห็นเป็นบัวลอยลูกโต คล้ายกับที่ใส่น้ำขิงบ้านเรา ...ก็เลยซื้อมาลอง พอซดน้ำเขาไป...เอ..มันน้ำซุปก๊วยเตี๋ยวจืดๆนี่น่า.... ไม่เข้าอย่างแรง ... ไ้บัวลอยอร่อยนะ แต่ห้ามกินน้ำเด็ดขาด

สุดท้าย ...ผลไม้เื่ชื่อม ...ค่อยยังชั่ว...ล้างปากได้เป็นอย่างดี เหอๆๆๆ

สรุปว่า ถ้าอยากลองอะไรแปลกๆก็กินไปเหอะ ...แปลกชัวร์!!! แต่ถ้าต้องการอร่อยนี่...อย่าหวังมากเลยดีกว่านะ (^^)




วันสุดท้ายแล้วววว วันนี้เราจะไปวังต้องห้าม (กู้กง) กันนะ
ไกด์พาเราเข้าจากทางด้านหลัง ...ก็จะเจอตำหนักฮองเฮาก่อน แล้วพอไ่ล่ขึ้นมาข้างหน้า ค่อยเจอตำหนักฮ่องเต้ แล้วก็ท้องพระโรง ส่วนด้านข้างๆเีนี่ย ก็จะเป็นตำหนักของเหล่านางสนม

จะดูว่าตำหนักใครให้ดูที่จำนวนมังกรบนหลังคา ถ้าเป็นฮ่องเต้ต้อง 11 ตัว แล้วก็ลดหลั่นกันไป

ตรงกลางจะมีทางเดินเรียกว่าทางเดินมังกร สำหรับเชื้อพระวงศ์เดินเท่านั้น รู้สึกว่าถ้าไม่ใช่ราชวงศ์เดินนี่มีสิทธิ์ต้องโทษได้เลยนะ






เสร็จแล้วก็เดินทะลุออกมาด้านหน้า ผ่านจตุรัสเทียนอันเหมินไปกินข้าว ...แล้วก็รอขึ้นเครื่องกลับกรุงเทพได้เลย~~~~


จบท้ายด้วยเป็ดปักกิ่งชื่อดัง

เค้าบอกว่าที่นี่เป็นต้นตำรับเป็ดปักกิ่ง ที่อื่นสู้ไมไ่ด้ (แต่แอบรู้สึกว่าที่เมืองไทยอร่อยกว่าแฮะ) ไม่ถูกลิ้นกะคนไทยมั้งเนอะ

จบแล้ว~~~~ ขอบคุณบ. ที่พาาเที่ยวค่าาาา

No comments: